- วงศ์ปลาสวาย(Pangasiidae)
ปลาในวงศ์ปลาสวาย หรือ วงศ์สังกะวาด มีรูปร่างเพรียว ส่วนท้องใหญ่ ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย หัวโต ตาโต มีหนวด 2 คู่ รูจมูกช่องหน้าและหลังมีขนาดเท่ากัน ครีบไขมันและครีบท้องเล็ก ฐานครีบก้นยาว กระเพาะขนาดใหญ่รียาว มี 1-4 ตอน พบขนาดตั้งแต่ไม่เกิน 40 ซม. ใน ปลาสังกะวาดท้องคม หรือปลายอนปีก (Pangasius pleurotaenia) หรือ (Pteropangasius pleurotaenia) จนถึง 3 เมตรใน "ปลาบึก">ปลาบึก (Pangasianodon gigas) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นปลาน้ำจืดไม่มีเกล็ดที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก การกระจายพันธุ์จากอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบอร์เนียว อินโดนีเชีย มีทั้งหมด 30 ชนิด และพบในประเทศใทยประมาณ 12 ชนิด เป็นปลาน้ำจืดเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมบริโภคและรู้จักกันดี
- 1)ปลาบึก
ลักษณะภายนอกที่สามารถแยกแยะปลาบึกออกจากปลา catfish ขนาดใหญ่อื่นในแม่โขง ได้แก่ลักษณะของฟันและหนวด ปลาบึกไม่มีฟันและเกือบจะไม่มีหนวด โดยที่ปลาวัยอ่อนมีฟันและกินปลาอื่นเป็นอาหาร แต่เมื่อโตขึ้นฟันจะหลุดไป และตาซึ่งจะอยู่ต่ำกว่ามุมปาก อาหารของปลาในธรรมชาติคือพืชชนิดต่าง ๆ เช่นตะไคร่น้ำ แต่เมื่อนำมาเลี้ยงก็สามารถรับอาหารชนิดอื่นได้ สามารถโตได้ถึง 3 เมตรและหนัก 150-200 กิโลกรัม ใน 5 ปี ปลาที่หนักที่สุดเท่าที่เคยจับได้เป็นตัวเมีย (บางรายงานระบุผิดว่าเป็นตัวผู้) ยาว 2.7 เมตร และหนัก 293 กิโลกรัม (646 ปอนด์) เจ้าหน้าที่กรมประมงสามารถรีดไข่ได้สำเร็จแต่ปลาตัวนี้ก็ตายก่อนที่จะปล่อย กลับธรรมชาติ
ในธรรมชาติยังไม่มีผู้พบปลาวัยอ่อน ปลาบึกเป็นปลาที่อพยพว่ายน้ำจากแม่น้ำโขงในเขตประเทศจีน เพื่อที่จะไปผสมพันธุ์และวางไข่ที่ทะเลสาบเขมร โดยฤดูกาลที่ปลาอพยพมานั้น ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จะถือว่าเป็นประเพณีจับปลาบึก โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปลาบึกถือเป็นอาหารที่หรูของประเทศลาว ในอดีตมีการประกอบพิธีกรรมร่วมกับการจับปลาชนิดนี้ ซึ่งมีการจับเพียงครั้งเดียวต่อปี และเนื้อปลาก็พบเห็นได้น้อยตามตลาด นอกจากเนื้อแล้ว ตับและไข่ปลาหมักเป็นอาหารรสชาติดี และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ปลาบึกมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า "ไตรราช" ปลาบึกที่มีขายในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการผสมเทียม
+++++++++++*+*++++++++++++
- 2.ปลาสวาย
พบในแม่น้ำและลำคลองสายใหญ่ ทั่ว"ประเทศไทย" เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง ที่ซึ่งมีการเพาะเลี้ยงกันมานานกว่า 50 ปี แล้ว โดยเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จในปี "พ.ศ. 2509" มีฤดูวางไข่ใน"กรกฎาคม" นิยมบริโภคโดยปรุงสดและรมควัน ในธรรมชาติ มักพบชุกชุมตามอุทยานปลาหรือหน้าวัดต่าง ๆ ที่ติดริมน้ำ โดยในบางพื้นที่อาจมีปลา"เทโพ"เข้ามาร่วมฝูงด้วย และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปลาที่สีกลายเป็นสีเผือก (Albino)
+++++++++++*+*++++++++++++
- 3.ปลาเทโพ

ปลาขนาดเล็กกินแมลง ปลาขนาดใหญ่กินพืช เช่น ผลไม้ เมล็ดพืช ปลา หอย แมลง ตลอดจนถึงซากสัตว์ อาศัยอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่และสาขาทั่วประเทศ
โดยมักรวมฝูงกับปลา"สวาย"ด้วย เป็นปลาที่นิยมบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำมาปรุง "แกงเทโพ" มีการเพาะเลี้ยงใน"ประเทศไทย"มานานกว่า 50 ปี
และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น หูหมาด" หูดำ " หรือ " ปึ่ง " ในภาษาเหนือเป็นต้น
+++++++++++*+*++++++++++++
- 4.ปลาเทพา
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pangasius sanitwongsei อยู่ใน"วงศ์ปลาสวาย" (Pangasiidae) มีส่วนหัวและปากกว้างกว่าปลาในสกุลเดียวกัน (Genus) ชนิดอื่น ๆ (Species)

มีฟันแหลมคม รูปร่างป้อม ลำตัวลึก ส่วนหลังยกสูงปลายครีบหลัง ครีบอก ครีบท้องยื่นเป็นเส้นยาว ครีบหางเว้าลึก เมื่อว่ายน้ำจะตั้งชั้นเหมือน"ฉลาม" ปลาวัยอ่อนมีสีเทาคล้ำ ข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำแนวเฉียง ท้องสีจาง ครีบมีแต้มสีดำ ปลาตัวเต็มวัยมีลำตัวสีเทาคล้ำ ท้องสีจาง ครีบสีคล้ำ ครีบก้นตอนหน้ามีแถบสีคล้ำตามแนวยาว ครีบหางมีแถบสีจางตามแนวยาวทั้ง 2 แฉก มีขนาดประมาณ 1 - 1.25 เมตร ใหญ่สุดพบยาวได้ถึง 3 เมตร

พบเฉพาะใน"แม่น้ำเจ้าพระยา"และ"แม่น้ำโขง"เท่านั้น ปัจจุบัน ได้สูญพันธุ์ไปแล้วจาก"แม่น้ำเจ้าพระยา" และหายากในแม่น้ำโขง แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วโดยวิธีการผสมเทียม ปลาวัยอ่อนกินปลาเล็กเป็นอาหาร ปลาวัยโตกินซากสัตว์อื่น และปลาเล็ก เนื้อมักถูกนำมาขายแทนเนื้อ"ปลาบึก"ซึ่งหายาก และมีราคาแพงกว่า
นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปลาพิการ ที่ลำตัวสั้นกว่าปกติ (Short Body) มีราคาสูงมาก มีชื่อเรียกใน"ภาษาอีสาน" " เลิม " อนึ่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ของเทพานั้น ตั้งขึ้นโดย "ฮิว แมคคอร์มิค สมิธ" (Hugh McCormick Smith) อธิบดีกรมประมงคนแรก เพื่อเป็นเกียรติแด่ ม.ร.ว. สุวพรรณ สนิทวงศ์ ในฐานะเป็นผู้ผลักดันและบุกเบิกให้มีหน่วยงานทางด้านการศึกษาและจัดการสัตว์น้ำในประเทศ ซึ่งก็คือกรมประมง ในปัจจุบัน
+++++++++++*+*++++++++++++
มีขนาดประมาณ 30-40 ซ.ม. ใหญ่สุดประมาณ 60 ซ.ม. อาหารกินแต่เฉพาะหอยขนาดเล็ก ทั้ง"หอยฝาเดียว (ยังไม่ได้สร้าง)">หอยฝาเดียวและ"หอยฝาคู่" โดยมักหากินใกล้พื้นท้องน้ำ มักกินจุจนท้องป่อง แล้วถ่ายออกมาเฉพาะเปลือก อาศัยอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่ พบใน
"แม่น้ำโขง"และ"แม่น้ำเจ้าพระยา" ไม่พบใน"ภาคใต้"ของไทย แต่มี"ประเทศมาเลเชีย"จนถึง"เกาะสุมาตรา"ประเทศอินโดนีเชีย" ในประเทศไทยบริโภคโดยการปรุงสุดและหมัก"สับปะรด" (เค็มบักนัด)
สวายหนู มีชื่อที่เรียกใน"ภาษาอีสาน"ว่า " ยอนหนู " และ " หน้าหนู "
+++++++++++*+*++++++++++++
- 6.ปลาเผาะ
พบใน"แม่น้ำโขง"ถึง"แม่น้ำเจ้าพระยา" พบน้อยใน"แม่น้ำบางปะกง" บริโภคโดยการปรุงสดและรมควัน และยังสามารถเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้อีกด้วย กรมประมงในขณะนี้มีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรโดยเฉพาะในภาคอีสานเลี้ยงปลาชนิดนี้เป็นปลาเศรษฐกิจชนิดใหม่ ขณะที่ต่างประเทศเช่นที่"เวียดนาม" > ก็ได้เลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน
เผาะ ยังมีชื่อเรียกต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น " โมง " " โมงยาง " " ยาง " หรือ " อ้ายด้อง " ชื่อในวงการปลาสวยงามเรียกว่า " ปลาบึกโขง " นครพนมเรียก "ปลาพ้อ" เป็นต้น
+++++++++++*+*++++++++++++

- 7.ปลาโมง
พบปลาที่ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2534 โดยระบุว่าเป็นปลาชนิดใหม่ที่มีขนาดเล็ก กินกุ้ง ปู และแมลงเป็นส่วนใหญ่ ปลาขนาดใหญ่กินหอย ปู เมล็ดพืช โดยหอยจะถูกกินทั้งตัวแล้วถ่ายออกมาเฉพาะเปลือก

อาศัยในแม่น้ำสายใหญ่ พบมากใน"แม่น้ำโขง""แม่น้ำบางปะกง" บริโภคโดยการปรุงสด และหมักสับปะรด เนื้อมีรสชาติดี ต่างประเทศเช่นที่ เวียตนามและมาเลเชีย มีการเลี้ยงปลาชนิดนี้เป็นปลาเศรษฐกิจด้วย มีชื่อเรียกอื่นอีก เช่น " โมงออดอ้อ " " เผาะ " หรือที่ทางกรมประมงตั้งให้ คือ " สายยูเผือก " เป็นต้น
+++++++++++*+*++++++++++++
- 8.ปลายาว


+++++++++++*+*++++++++++++
- 9.ปลาสังกะวาดท้องคม

มีขนาดประมาณ 15 - 20 ซ.ม. ใหญ่สุดที่พบคือ 30 ซ.ม. จัดว่าเป็นปลาขนาดเล็กเมื่อเทียบกับปลาชนิดอื่น ๆ ในวงศ์นี้ กินแมลงเป็นอาหารหลัก กินเมล็ดพืช ผลไม้ และพืชน้ำในบางครั้ง พบมากใน"แม่น้ำโขง""แม่น้ำเจ้าพระยา""แม่น้ำแม่กลอง" พบน้อยใน"แม่น้ำตาปี" เป็นปลาที่พบชุกชุม จึงเป็นปลาเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคอีสาน นิยมบริโภคเป็นปลาแห้งและปรุงสด มีชื่อเรียกเป็นภาษาถิ่นอีสานว่า" ยอนปีก
+++++++++++*+*++++++++++++
หวัดดีค่ะ คุณปลาจ้าวน้อย ได้ความรู้เรื่องปลาๆๆๆ ไปอีกอย่าง รูปภาพสวยดี น่าสนใจ
ตอบลบขอบคุณครับคุณNAIYANA
ตอบลบโห...ได้ความรู้มากเลยครับ ขอบคุณครับ
ตอบลบยินดีครับ ขอบคุณมากครับ
ตอบลบสวายหนูในไทยให้ไปใช้ Helicophagus leptorhynchus Ng & Kottelat 2000 ส่วน Helicophagus waandersii Bleeker 1858 ชื่อนี้ไปทางซุนดาแลนด์โลด
ตอบลบส่วน ปลาหางบ่วง ให้ใช้เป็น Barbichthys laevis (Valenciennes 1842) ก่อนทั้งทางซุนดา กับ อินโดไชน่า ยังไม่มีใครแยก.
ขอบคุณน้าจิรชัยครับ จะรีบแก้ไขครับ
ตอบลบเป็นกำลังใจครับ
ตอบลบขอบพระคุณมากครับ อยู่ได้ทุกวันนี้เพราะกำลังใจนี่แหละครับ เป็นกำลังใจให้เช่นกันครับ
ตอบลบอ่อน กระตอก เชอะ เน่า ควย
ตอบลบโรคจิตจิงๆเนาะมึง เค้าทำไรให้มึงเดือดร้อนมากเหรอวะ อิจฉาเค้าละสิ
ตอบลบอ่อน กระตอก เชอะ เน่า ควย
ตอบลบขอบคุณสำหรับคำชมนะครับท่านผู้มีการศึกษาสูงแต่จิตใจ.....เหลือเกิน..ผมไปทำอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจ หรือไปทำร้ายทำลายครอบครัวคุณหรือครับ เคยไปด่าว่าญาติผู้ใหญ่คุณมั้ย หรือไปขัดผลประโยชน์คุณทางใด ยักยอกสินทรัพย์คุณมาหรือไม่ หากมีกราบขอขมาและอภัย หากไม่ใช่ยินดีอโหสิกรรมให้ หากมีชาติหน้่าชาติใหม่ขออย่าได้ไกล้ อย่าเกิดมาเจอกันอีกเลย.....สาธุ!
เข้ามาอ่านข้อมูลแล้ว เป็นประโยชน์มากที่เดียวครับ..ขอเป็นกำลังใจให้คุณเจ้าน้อยในการให้วิทยาทานความรู้ นะครับ
ตอบลบ.....
"มีความรู้ ใช้ความ และให้ความรู้ต่อคนอื่น..เท่านี้ก็น่าเลื่อมใส"
พยายามต่อไปนะครับ
ขอบพระคุณสำหรับกำลังใจดีๆครับ จะสู้ต่อไปครับ ขอบพระคุณมากครับ
ตอบลบดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตอบลบแหล่มเลยคร้าบ
ตอบลบ